Barcode 1D และ Barcode 2D ต่างกันอย่างไร

Last updated: 21 มิ.ย. 2568  | 

Barcode 1D และ Barcode 2D ต่างกันอย่างไร

                บาร์โค้ดโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ บาร์โค้ด 1D (One-Dimensional) และ บาร์โค้ด 2D (Two-Dimensional) ซึ่งมีความแตกต่างกันทั้งในด้านลักษณะทางกายภาพ ความจุของข้อมูล และการนำไปใช้งาน

1. บาร์โค้ด 1D (One-Dimensional Barcode) หรือ บาร์โค้ดแบบเส้นตรง

ลักษณะ: มีลักษณะเป็นแท่งเส้นตรงสีขาวสลับดำที่มีความกว้างและความห่างแตกต่างกันเรียงตัวกันในแนวนอน คล้ายที่เราเห็นบนผลิตภัณฑ์ตามร้านค้าทั่วไป
ความจุข้อมูล: สามารถเก็บข้อมูลได้จำกัด ส่วนใหญ่เป็นตัวเลขหรือตัวอักษรไม่กี่ตัว เช่น รหัสสินค้า (SKU), หมายเลขประจำตัว (Serial Number), หรือราคา
ข้อดี :

  • มีประเภทบาร์โค้ดให้เลือกใช้งานหลากหลาย ตัวอย่างการใช้งาน:

-UPC (Universal Product Code)  - สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป

- EAN-13 (European Article Number) นิยมใช้สำหรับสินค้าที่จำหน่ายในธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะ  Modern Trade ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  
- Code 39, Code 128  นิยมใช้ในงานภายในองศ์กร เช่น รหัสสินค้า หรือการจัดการสต็อกสินค้า
-  ISBN-13 บาร์โค้ดสำหรับหนังสือ หรือระบบจัดการในห้องสมุด

  • เป็นที่รู้จักและใช้งานแพร่หลายมายาวนาน

ข้อจำกัด :

  • เก็บข้อมูลได้น้อย หรือหากมีข้อมูลสำหรับทำบาร์โค้ดในบริมาณมาก  อาจจะทำให้บาร์โค้ดมีความยาวมากเกินพื้นที่ที่จะพิมพ์
  • หากบาร์โค้ดบางส่วนชำรุดเสียหาย อาจทำให้เครื่องอ่านบาร์โค้ดสแกนได้ยาก  หรือไม่สามารถสแกนได้
  • ไม่สามารถเก็บข้อมูลที่ซับซ้อน เช่น ลิงก์เว็บไซต์ รูปภาพ หรือข้อมูลภาษาอื่นได้

2. บาร์โค้ด 2D (Two-Dimensional Barcode) หรือ บาร์โค้ดแบบสองมิติ


ลักษณะ: มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือรูปทรงอื่น ๆ ที่ประกอบด้วยลวดลายของจุด สี่เหลี่ยมเล็กๆ หรือรูปทรงต่างๆ กระจายตัวอยู่ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน ตัวอย่างการใช้งาน:
QR Code (Quick Response Code): ใช้สำหรับลิงก์เว็บไซต์, ชำระเงิน, เพิ่มเพื่อนใน LINE, ตั๋วเข้างาน, ตั๋วเครื่องบิน, ข้อมูลผลิตภัณฑ์
- Data Matrix: นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, ยา, อาหาร, อะไหล่รถยนต์ เพื่อติดตามผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วน
- PDF417: ใช้กับเอกสารสำคัญ เช่น บัตรประจำตัวประชาชน, ใบขับขี่, ตั๋วเดินทาง
- GS1 DataMatrix / GS1 QR Code: ใช้เพื่อบรรจุข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนขึ้น เช่น GTIN (Global Trade Item Number), วันหมดอายุ, หมายเลขล็อต ในอุตสาหกรรมต่างๆ
 

การเข้ารหัสข้อมูล: บรรจุข้อมูลได้ทั้งในแนวนอนและแนวตั้ง ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากกว่าบาร์โค้ด 1D อย่างมาก (อาจถึง 4,000 ตัวอักษร หรือ 200 เท่าของบาร์โค้ด 1D ในพื้นที่เท่ากันหรือเล็กกว่า)
ความจุข้อมูล:  สามารถเก็บข้อมูลที่หลากหลายและซับซ้อนได้มากขึ้น เช่น ลิงก์เว็บไซต์, ข้อความยาวๆ, ข้อมูลติดต่อ, ข้อมูลโภชนาการ, วันหมดอายุ, หมายเลขล็อต, ภาพถ่ายขนาดเล็ก หรือแม้แต่ข้อมูลในหลายภาษา

 

โดยสรุปแล้ว  การเลือกว่าจะใช้บาร์โค้ดประเภทใดขึ้นอยู่กับปริมาณข้อมูลที่ต้องการจัดเก็บ และลักษณะการใช้งานของธุรกิจ

บาร์โค้ด 1D เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความรวดเร็วและข้อมูลพื้นฐาน เช่น การขายปลีกทั่วไป

ส่วนบาร์โค้ด 2D เหมาะสำหรับงานที่ต้องการข้อมูลจำนวนมาก ความยืดหยุ่น และการเชื่อมโยงกับระบบที่ซับซ้อนมากขึ้น

ในปัจจุบัน ไม่มีข้อจำกัดเรื่องการเลือกใช้เครื่องเครื่องอ่านบาร์โค้ดแล้ว เนื่องจากราคาของเครื่องอ่านบาร์โค้ดทั้งแบบ  1D และแบบ 2D  มีราคาใกล้เคียงกัน  และมีให้เลือกหลากหลายยี่ห้อ

Note :  1D   Barcode Scanner จะสามารถอ่านหรือ scan ได้เฉพาะ บาร์โค้ดประเภท 1D เท่านั้น  ส่วน 2D Barcode Scanner จะสามารถอ่านได้ทั้ง  1D  Barcode และ  2D   Barcode
 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้