Q & A

อื่นๆ

                        กรณีผู้ประกอบการมีสินค้าและต้องการส่งสินค้าเข้าห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าปลีกที่มีสาขาเช่น  7-11  /  CJ หรือ LOTUS EXPRESS  ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีบาร์โค้ดสำหรับการค้าปลีก ซึ่งเป็นเหมือนเลขประจำตัวของสินค้าค่ะ   ซึ่งผู้ประกอบการไม่สามารถกำหนดเลขบาร์โค้ดได้ด้วยตัวเองนะคะ   

                          ผู้ประกอบการจำเป็นต้องจดทะเบียนเป็นสมาชิกของสถาบันรหัสสากล โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.gs1th.org/ ค่ะ  จากนั้น ทำการเลือกประเภทของหมายเลขบาร์โค้ดที่ต้องการสมัคร ได้แก่ GTIN – 13 / EAN – 13 สำหรับการค้าขายสินค้าทั่วไปที่จำหน่ายในบ้านเรา    หรือหากในอนาคตมีแผนจะส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศ ทาง GS1  THAILAND ก็จะมีกำหนดประเภทบาร์โค้ดสำหรับแต่ละประเทศด้วยค่ะ  เช่น บาร์โค้ด GTIN – 12 / UPC – A สำหรับการค้าในประเทศอเมริกาและแคนาดาบางรัฐ   สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่หน้า website ของ GS1  THAILAND ได้เลยค่ะ  


Q :การจดทะเบียนเป็นสมาชิกของสถาบันรหัสสากล และขอเลขบาร์โค้ดมีค่าใช้จ่ายหรือไม่  

A; มีค่าใช้จ่ายค่ะ   ซึ่งค่าใช้จ่ายของแต่ละท่านจะไม่เท่ากันค่ะ  ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการ   และอ้างอิงรายได้ตามงบการเงินค่ะ   โดยจะมีรายะเอียดแจ้งในใบสมัครสมาชิกสถาบันรหัสสากล  ในหน้าระเบียบ ข้อบังคับ การเป็นสมาชิกสถาบันรหัสสากลค่ะ  โดยค่าธรรมเนียมเริ่มต้นที่  1,500 บาทค่ะ   เพิ่มขึ้นตามเงื่อนไขรายได้ที่ระบุในงบการเงินค่ะ   

 


Q :หลังจากสมัครสมาชิกแล้ว ภายในกี่วันถึงจะได้รับเลขหมายบาร์โค้ด ?

A; นับจากวันที่ยื่นเอกสารต้องครบถ้วน ถูกต้อง และชำระเงินแล้ว ไม่เกิน 7 วันทำการค่ะ  


               เลขบาร์โค้ดที่ได้มา ก็จะเป็นเหมือนเลขประจำตัวขอสินค้านั้นๆ    ผู้อื่นไม่สามารถนำเลขบาร์โค้ดของเราไปใช้ซ้ำหรือดัดแปลงได้ค่ะ    เช่นเดียวกันเราก็ไม่สามารถใช้เลขบาร์โค้ดซ้ำกับของคนอื่นๆ ได้ค่ะ   

 

ตัวอย่างการการกำหนดเลขหมายประจำตัวสินค้า - บาร์โค้ด สำหรับสินค้าค้าปลีก
 ในการกำหนดเลขหมายประจำตัวสินค้า – บาร์โค้ด นั้น ทางสมาชิกจะต้องมีข้อมูลของสินค้าที่ต้องการก่อน เช่น 

บริษัท A ต้องการผลิตน้ำส้มที่มีขนาดและบรรจุภัณฑ์ที่แตกต่างกัน ดังรูป

(ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ GS1 THAILAND ค่ะ )

โดยมีรายละเอียดดังนี้ => น้ำส้มกล่องเล็ก ขนาด 180 มล. / น้ำส้มกล่องใหญ่ ขนาด 1,000 มล. / น้ำส้มแบบขวด ขนาด 350 มล.

วิธีการตั้งเลข

ให้กำหนดเลขหมายของสินค้านั้นๆ เรียงลำดับต่อๆกันไป ตามรูปแบบที่ทางสถาบัน ฯ กำหนด
***  885 = รหัสประเทศ + รหัสบริษัท ตามจำนวนโครงสร้างที่ทางสมาชิกได้ยื่นจดทะเบียน + รหัสสินค้า + หมายเลขตรวจสอบ (Check Digit)  จะได้ดังนี้

น้ำส้มกล่องเล็ก ขนาด 180 มล. => 8851234500017
น้ำส้มกล่องใหญ่ ขนาด 1,000 มล. => 8851234500024
น้ำส้มแบบขวด ขนาด 350 มล. => 8851234500031  

 

 

1D Barcode (บาร์โค้ดแบบหนึ่งมิติ)
ลักษณะ : เป็นเส้นแนวตั้งสีดำและขาวเรียงกันในแนวนอน ตัวอย่างที่คุ้นเคย: บาร์โค้ดบนสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต
เก็บข้อมูลได้น้อย (ประมาณ 8–25 ตัวอักษร) เก็บได้แค่ตัวเลขหรือตัวอักษรธรรมดา

 

2D Barcode (บาร์โค้ดแบบสองมิติ)
ลักษณะ : มีทั้งแนวนอนและแนวตั้ง (เหมือนตารางหรือจุด) ตัวอย่างที่คุ้นเคยและนิยมใช้โดยทั่วไป เช่น  QR Code, PDF417 ค่ะ  
2D Barcode จะเก็บข้อมูลได้มากกว่า 1D Barcode ค่ะ โดยเก็บข้อมูลได้มากตั้งแต่หลายร้อยถึงหลายพันตัวอักษร 
รวมถึง รองรับข้อมูลทั้งตัวอักษร ตัวเลข และแม้แต่รูปภาพ/ลิงก์ URL ค่ะ 




 

คำถามเกี่ยวกับหมึกริบบอน

ริบบอน (RIBBON )คือหมึกสำหรับเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดค่ะ   มีลักษณะเป็นแผ่นฟิล์มบางๆ  และที่ใช้งานโดยทั่วไปจะเป็นสีดำ  มีสีอื่นๆบ้างเช่น  แดง เขียว น้ำเงิน เป็นต้น  รูปแบบเป็นม้วน  สั่งผลิตได้ตามขนาดที่ต้องการใช้ได้ค่ะ   โดยขนาด จะอ้างอิงตามสเปคของเครื่องพิมพ์ที่ใช้งาน และความกว้างของสติ๊กเกอร์ที่ใช้ค่ะ   ก่อนสั่งตัดควรตรวจสอบเครื่องพิมพ์ว่ารองรับขนาดเท่าไหร่   โดยริบบอนจะมีขนาดมาตรฐานที่เครื่องพิมพ์รองรับ และจำหน่ายโดยทั่วไป  เช่น  


ขนาด  110x74 m.  ขนาดแกน  0.5นิ้ว / แกนคู่ 

ขนาด  110x91 m.  ขนาดแกน  0.5นิ้ว / แกนคู่ 

ขนาด  110x300 m. ขนาดแกน  1 นิ้ว / แกนเดี่ยว

ขนาด  110x450 m. ขนาดแกน  1 นิ้ว / แกนเดี่ยว

ตัวเลขด้านหน้า คือความกว้างของแผ่นริบบอน หน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร   ตัวเลขด้านหลังคือความยาวของริบบอน หน่วยวัดเป็นเมคร  
ริบบอนที่ใช่โดยทั่วไป เป็น  Flat head  Ribbon   และมีแยกย่อยเป็น  3 ประเภทได้แก่   Wax Ribbon, Wax Resin Ribbon, และ Resin Ribbon

การใช้งานริบบอน  จะนำไปใช้พิมพ์ร่วมกับสติ๊กเกอร์  ผ่านเครื่องพิมพ์ที่รองรับการใส่ริบบอน   การเลือกใช้สติ๊กเกอร์และริบบอนที่ถูกต้องจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน โดยเฉพาะงาน Supply Chain   เช่น ฉลากสินค้า, งานที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้า  และงานที่เกียวของกับระบบ  Logistics  เป็นต้น     

 

ให้ตรวจสอบ 3  ประเด็นหลักๆ  ดังนี้ 


ตรวจสอบประเภทเครื่องพิมพ์     : เครื่องพิมพ์ที่สามารถใส่ริบบอนได้ปัจจุบันจะมีระบบการพิมพ์   2  แบบ  ได้แก่  ระบบ Near Edge และระบบ Flat head     ซึ่ง ริบบอนที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป  จะเป็นระบบ Flat head    กรณีที่ลูกค้าใช้เครืองพิมพ์ระบบ Near Edge  ต้องสั่งซื้อริบบอนสำหรับเครื่องพิมพ์  Near Edge โดยเฉพาะ   หากนำFlat head  Ribbon ไปใช้กับเครื่องพิมพ์ระบบ Near Edge ก็จะพบปัญหาหมึกเลอะ     สามารถตรวจสอบระบบเครื่องพิมพ์ได้ในเอกสาร datasheet ของเครื่องพิมพ์แต่ละรุ่น 
ตรวจสอบการตั้งค่าของเครื่องพิมพ์   :  กรณีที่พิมพ์แล้วหมึกเลอะ ให้ปรับการตั้งค่าการพิมพ์ในหัวข้อความเข้ม และ speed ของเครื่องพิมพ์ ให้เหมาะกับการพิมพ์    ช่วยลดปัญหาหมึกเลอะได้ค่ะ   


ตรวจสอบประเภทของสติ๊กเกอร์และริบบอนที่ใช้ร่วมกัน   : 
-  กรณีที่ใช้สติ๊กเกอร์ความร้อน  ไม่ต้องใช้หมึกริบบอน   แต่ถ้าหากใช้ริบบอนคู่กับสติ๊กเกอร์ความร้อน ก็สามารถพิมพ์ข้อความได้  และข้อความก็จะเข้มกว่าปกติ    แต่ก็จะเปลืองหมึกค่ะ   และถ้าตั้งค่าความเข้มไว้สูง  อาจจะพบหมึกเลอะระหว่างพิมพ์ได้ค่ะ  

-  กรณีที่ใช้สติ๊กเกอร์ประเภทกระดาษ เช่น กึ่งมันกึ่งด้าน, ขาวมัน,ขาวด้าน หรือ Thermal Transfer  แนะนำใช้คู่กับริบบอน Wax  

-  กรณีที่ใช้สติ๊กเกอร์ประเภทฟิล์ม  เช่น PET, PE,PO, YUPO,PP  แนะนำใช้คู่กับริบบอน  WAX - RESIN หรือ  RESIN  ขึ้นอยู่กับ      PROCESS     การนำสติ๊กเกอร์ไปใช้

คำถามเกี่ยวกับเครื่องพิมพ์สติ๊กเกอร์

เครื่องพิมพ์ที่ใช้ไปในระยะเวลาหนึ่งอาจจะมีอาการ ERROR ขึ้นได้ ส่งผลให้ระยะการพิมพ์เคลื่อนจากเดิม  วิธีแก้ไขเบื้องต้น 

  • ตรวจสอบการตั้งค่าหน้ากระดาษในโปรแกรม หรือใน DRIVER ของเครื่องพิมพ์ว่าตั้งค่าขนาดกระดาษตรงกับการใช้งานจริงหรือไม่  


  • ทำการ calibrate เครื่องพิมพ์   เพื่อให้เครื่องพิมพ์ปรับการจับค่าขนาดสติ๊กเกอร์ตามขนาดที่ใช้งานจริง ซึ่งเครื่องพิมพ์แต่ละรุ่นอาจจะมีวิธีการ calibrate ที่แตกต่างกัน สามารถติดต่อตัวแทนจำหน่ายของเครื่องพิมพ์รุ่นที่ใช้งานเพื่อสอบถามวิธีการ calibrate ได้เลยค่ะ 

ใช้ได้ค่ะ  มีหลายอุตสาหกรรมที่ใช้วัสดุประเภทกระดาษพิมพ์แทนสติ๊กเกอร์ค่ะ  เช่นประดาษ Direct Thermal หนา 76 แกรม   กระดาษปอนด์  หนา 100 แกรม  หรือ 150 แกรม  กระดาษปอนด์สามารถพิมพ์ร่วมกับริบบอน wax ได้ค่ะ       แต่ทั้งนี้  วัตถุดิบประเภทกระดาษจะมีราคาสูงกว่าวัตถุดิบกลุ่มสติ๊กเกอร์บางเนื้อหากเทียบกันที่ขนาดและจำนวนสั่งซื้อที่เท่ากันค่ะ  

ตัวอย่างงานที่ใช้กระดาษกับเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด  เช่น ตัวหนัง  หรือตั๋วสำหรับเข้าชมสถานที่ต่างๆ  เป็นต้น 

               การเลือกเครื่องพิมพ์บาร์โค้ดให้เหมาะกับการใช้งาน ควรดูจากหลายปัจจัย เพราะแต่ละรุ่นถูกออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานแตกต่างกันไป เช่น ปริมาณการพิมพ์ ความละเอียด ชนิดของวัสดุที่ใช้พิมพ์หรือระบบการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด   เป็นต้น  

✅ ปัจจัยเบื้องต้นในการเลือกเครื่องพิมพ์บาร์โค้ด

  • ปริมาณการพิมพ์ต่อวัน

    ปริมาณการพิมพ์น้อยกว่า  1,000 -5,000  ดวง/วัน และมีระยะเวลาพักเครื่องในการสั่งพิมพ์ หรือไม่ได้พิมพ์ทุกวัน  แนะนำเครื่องพิมพ์กลุ่ม  Desktop Printer เช่น Godex G500 Series , HPRT HT100 / HT300, Argox CX2040 Pro Argox CX2140  เป็นต้น
           ปริมาณการพิมพ์ปานกลาง–สูง เช่น 5,000 – 10,000 ดวง/วัน) : แนะนำเครื่องพิมพ์กลุ่ม Industrial Printer                          เช่น Godex EZ2250i,  Zebra ZT231 Argox XM4-200/300   Series เป็นต้น   
 
  • ความละเอียดของการพิมพ์ (DPI)
               203 DPI: สำหรับพิมพ์บาร์โค้ดทั่วไป
               300 DPI: พิมพ์ตัวหนังสือเล็ก โลโก้ หรือ QR Code ขนาดเล็ก
               600 DPI: งานละเอียด เช่น ฉลากสินค้าขนาดจิ๋ว


  • ขนาดของฉลากหรือสติ๊กเกอร์
    ควรดูว่าเครื่องรองรับหน้ากว้างกี่นิ้ว (เช่น 2", 4", 6") ใช้สติ๊กเกอร์แบบม้วนและคำนึงถึงขนาดของแกนสติ๊กเกอร์ด้วย เช่นสติ๊กเกอร์มีขนาดแกน 1 นิ้ว  1.5 นิ้ว หรือ 3 นิ้ว  หรือต้องการใช้สติ๊กเกอร์แบบพับ  เป็นต้น 


  • ประเภทของการพิมพ์
            > Thermal Transfer: เป็นระบบการพิมพ์ที่ต้องใช้สติ๊กเกอร์ ร่วมกับหมึกริบบอน เหมาะกับงานที่ต้องการความคงทน เช่น สติ๊กเกอร์บาร์โค้ดสินค้าหรือฉลากคลังสินค้า สติ๊กเกอร์ห้องเย็น  เป็นต้น 
            >  Direct Thermal: ป็นระบบการพิมพ์ที่ต้องใช้สติ๊กเกอร์แบบ Direct Thermal หรือสติ๊กเกอร์ความร้อน  ไม่ต้องใช้ริบบอน ประหยัด แต่พิมพ์จะจางเมื่อโดนความร้อนหรือแสงแดด 


  • โปรแกรมสำหรับออกแบบหรือจัดการงานพิมพ์
              เครื่องพิมพ์บาร์โค้ดแต่ละยี่ห้อในปัจจุบัน จะมีโปรแกรมออกแบบงานพิมพ์พื้นฐานให้ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดใช้งานได้ฟรี    แต่จะมีข้อจำกัดเช่น สามารถใช้ได้เฉพาะยี่ห้อนั้นๆ  ไม่สามารถใช้งานร่วมกับเครืองพิมพ์ยี่ห้ออื่นได้    และการใช้งานก็จะเป็นการใช้งานเบื้องต้นที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน  สามารถออกแบบได้เอง  เช่้นโปรแกรม   Go Label ของเครื่องพิมพ์ยี่ห้อ GOdex   Bartender Ultra Lite  ของเครื่องพิมพ์  HPRT โปรแกรม Zebra Designer  สำหรับเครื่องพิมพ์ยี่ห้อ  Zebra  เป็นต้น      หรือหากผู้ใช้งานมีเครื่องพิมพ์หลายยี่ห้อที่ใช้งาน  และต้องการใช้งานรวมกับฐานข้อมูลอื่นๆ  และต้องการใช้โปรแกรมออกแบบเพียงโปรแกรมเดียว  ก็เป็นต้องซื้อ License  โปรแกรมออกแบบเพื่อมาใช้งานโดยเฉพาะ   เช่น Bartender, Nice Label ซึ่งราคาขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่ต้องการใช้งานเป็นต้น 



เครื่องพิมพ์  HPRT HT100 / HT300 /HT330  สามารถปรับความเร็วในการพิมพ์ให้เหมาะสมกับงานได้ มีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน และผู้ใช้งานสามารถปรับได้ ตามเมนูคำสั่งดังต่อไปนี้ 

เข้าเมนู control panal และไปที่เมนุ Devices and Printer  และกดตามลำดับดังนี้ 

  • Printers & scanners 
  • เลือกรุ่นเครื่องพิมพ์  (ตามรูปตัวอย่างเป็นรุ่น HPRT HT300 ค่ะ)
  • เลือกคำสั่ง  Printing Preferrences > จะมี Pop up ขึ้นมาค่ะ 
  • ไปที่แถบเมนูตัวเลือกตามหมายเลข  4 ค่ะ  
  • ปรับเลือกความเร็วในเมนู พิมพ์ จะมีระดับความเร็วให้เลือกตามรูปตัวอย่าง  

หลังจากเลือกปรับความเร็วแล้ว กดปุ่ม Apply  และปุ่ม OK ตามลำดับ   และทดลองสั่งพิมพ์งานได้เลยค่ะ 

               เครื่องพิมพ์ที่รองรับการพิมพ์ 2 ระบบ ทั้งระบบ Direct  Thermal (พิมพ์ด้วยระบบความร้อน) และ  Thermal Transfer (พิมพ์ด้วยการใส่หมึกริบบอน)  เช่น   HPRT HT100,  HT300,  HT330  หรือรุ่นอื่น เช่น  Godex G500, TSC  TE210  เป็นต้น    
              ในกรณีที่คุณลูกค้าต้องการเปลี่ยนจากการพิมพ์ระบบ Thermal Transfer  เป็นระบบ Direct  Thermal  คุณลูกค้าต้องเปลี่ยนประเภทของสติ๊กเกอร์เป็นสติ๊กเกอร์ Direct Thermal (DT) หรือสติ๊กเกอร์ความร้อนก่อน จึงจะสามารถพิมพ์ด้วยระบบความร้อนได้ค่ะ      หากใช้สติ๊กเกอร์ประเภทที่ใช้คู่กับริบบอน  เช่น  สติ๊กเกอร์กึ่งมันด้าน (TT)  หรือสติ๊กเกอร์เนื้อ PP  โดยที่ไม่ใส่ริบบอน  ก็จะพิมพ์ไม่ออกค่ะ   
 

คำถามเกี่ยวกับสติ๊กเกอร์

โดยปกติการกำหนดขนาดสติ๊กเกอร์สำหรับติดฉลากยา  จะอ้างอิงกับโปรแกรมที่ใช้สั่งพิมพ์ค่ะ  ซึ่งแต่ละโรงพยาบาล  / คลีนิค  หรือร้านขายยา  ก็จะใช้โปรแกรมต่างกันออกไปค่ะ  

สติ๊กเกอร์ติดซองยามีลูกค้าสั่งซื้อประจำที่ PBCS  และบาง size ได้ทำ STOCK พร้อมส่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ต้องการใช้ของด่วนค่ะ  

สินค้าทำ stock 

  • สติกเกอร์ Direct Thermal size 80*50 มม. ขาวเปล่า ดวงเดี่ยว ขอบข้าง 1 มม. ช่องไฟ 2 มม. มีปรุระหว่างแถว แกน 1.5 นิ้ว จำนวน 500 ดวงต่อม้วน
  • สติกเกอร์ Direct Thermal size 80*50 มม. ขาวเปล่า ดวงเดี่ยว ขอบข้าง 1 มม. ช่องไฟ 2 มม. มีปรุระหว่างแถว แกน 1.5 นิ้ว จำนวน 1,000 ดวงต่อม้วน
  • สติกเกอร์ Direct Thermal size 90*60มม. ขาวเปล่า ดวงเดี่ยว ขอบข้าง 1 มม. ช่องไฟ 2 มม. มีปรุระหว่างแถว แกน 1.5 นิ้ว จำนวน 1,000 ดวงต่อม้วน
  • สติกเกอร์ Direct Thermal size 100x75 mm. ขาวเปล่า ดวงเดี่ยว มีปรุระหว่างแถว จำนวน 500 ดวงต่อม้วน แกน 1.5 นิ้ว 


 ตัวอย่างขนาดที่ลูกค้านิยมสั่งผลิต 
  • สติกเกอร์ Direct Thermal size 80x45 mm.  จำนวน 1,000 ดวงต่อม้วน แกน 1.5 นิ้ว 
  • สติกเกอร์ Direct Thermal size 85x60 mm.  จำนวน 1,00 ดวงต่อม้วน แกน 1.5 นิ้ว
  • สติกเกอร์ Direct Thermal size 80x60 mm.  จำนวน 1,000 ดวงต่อม้วน แกน 1.5 นิ้ว
  • สติกเกอร์ Direct Thermal size 85*65 mm.  จำนวน 1,000 ดวง  ดวงต่อม้วน แกน 1.5 นิ้ว

               size ที่สั่งผลิตก็จะมีทั้งแบบดวงเปล่า  และแบบพิมพ์โลโก้ค่ะ      งานสั่งผลิตจะมีขั้นต่ำในการผลิตนะคะ  โดยปกติจะมีขั้นต่ำที่  50 ม้วนและมีระยะเวลาผลิตประมาณ 10 วันค่ะ   ราคาสำหรับงานผลิต จะอ้างอิงตามจำนวนที่สั่งและจำนวนสีของโลโก้นะคะ    เบื้องต้นสามารถสอบถามรายละเอียดกับฝ่ายขาย หากมีแบบแล้ว สามารถส่งแบบให้ประเมินราคาได้เลยค่ะ 


สติ๊กเกอร์ที่พิมพ์และนำไปใช้งานแล้วเปลี่ยนสี   มักจะเป็นสติ๊กเกอร์ Direct  Thermal  ประเภท  NON TOPCOAT ค่ะ  

  • สติ๊กเกอร์ Direct  Thermal  ประเภท  NON TOPCOAT  เป็นสติ๊กเกอร์ถูกออกแบบมาให้ใช้งานในระยะเวลาสั้นๆ  เป็นที่นิยมใช่งานที่มี Process การทำงานน้อยกว่า  5 วัน เช่น   งานสติ๊กเกอร์าำหรับพิมพ์ราคาอาหารสด, สำหรับธุรกิจค้าปลีก  สติ๊กเกอร์ปะหน้าขนส่ง สำหรับงานขายผ่านระบบ e-commerce    หรือร้านชายยาที่เภสัชกรจ่ายยาสำหรับใช้ไม่เกิน  1 สัปดาห์   เป็นต้น    

  • กรณีที่ไม่ต้องการให้ความซีดจาง และสติ๊กเกอร์เปลี่ยนสีในระยะเวลาหนึ่ง  และมีความยังมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สติ๊กเกอร์ Direct thermal อยู่  แนะนำให้เลือกใช้สติ๊กเกอร์ Direct  Thermal  ประเภท  TOPCOAT ค่ะ    ซึ่งจะมีสารเคลือบหน้าสติ๊กเกอร์ให้เปลี่ยนสีและซีดจางช้าลงได้ค่ะ    ราคาจะสูงกว่าสติ๊กเกอร์ Direct  Thermal  ประเภท  NON TOPCOAT ค่ะ  

 

  • กรณีที่ไม่ต้องการข้อมูลที่พิมพ์ซีดจางเลย  และอายุการใช่งานของสติ๊กเกอร์นาน  แนะนำให้ใช้สติ๊กเกอร์ที่พิมพ์ร่วมกับหมึกริบบอนแทนค่ะ   สติ๊กเกอร์ประเภทกระดาษ ที่พิมพ์รวมกับริบบอน เช่น กึ่งมันกึ่งด้าน, ขาวมัน,ขาวด้าน หรือ Thermal Transfer  แนะนำใช้คู่กับริบบอน Wax    หรือ  ติ๊กเกอร์ประเภทฟิล์ม  เช่น PET, PE,PO, YUPO,PP  แนะนำใช้คู่กับริบบอน  WAX - RESIN หรือ  RESIN  ขึ้นอยู่กับประเภทงานค่ะ  

  • แบบมีริบบอน คือ คุณลูกค้าต้องนำไปพิมม์ร่วมกับหมึกริบบอนค่ะ ถ้าเราไม่ใส่หมึกจะพิมพ์ข้อความไม่ออกค่ะ และเครื่องพิมพ์ของคุณลูกค้า ต้องเป็นรุ่นที่ใส่หมึกริบบอนได้ค่ะ
  • แบบไม่มีริบบอน คือ สติ๊กเกอร์ความร้อน หรือ DT หรือ Direct thermal ค่ะ ไม่ต้องใช้หมึกในการพิมพ์ พิมพ์ผ่านเครื่องพิมพ์ที่เป็นระบบความร้อนได้เลยค่ะ
  • งานพิมพ์ออกมาเหมือนกัน แต่จะวัดกันในระยะยาวค่ะ งานที่ไม่มีริบบอน พอทิ้งไว้สักประมาณ 1 เดือน สติ๊กเกอร์จะเริ่มเปลี่ยนสี และข้อความที่พิมพ์อาจจะเริ่มซีดจางค่ะ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้